วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คริสติน โคคูล ไฮยาลอส โอเวอร์ไนท์ ซีรั่ม

Item Code : 10179 Kristine Ko-Kool Hyalos Overnight Serum (30 ml.)คริสติน โคคูล ไฮยาลอส โอเวอร์ไนท์ ซีรั่ม (30 มล.) ราคาปกติ 3,070฿ ลด 25% เหลือ 2,300฿ เท่านั้น  สั่งซื้อที่นี่
Item Code : 10181 Kristine Ko-Kool Hyalos Overnight Serum (10 ml.) คริสติน โคคูล ไฮยาลอส โอเวอร์ไนท์ ซีรั่ม (10 มล.) ราคาปกติ 1,130฿ ลด 25% เหลือ 845฿ เท่านั้น  
Kristin Ko-Kool Hyalos Overnight Serum คริสติน โคคูล ไฮยาลอส โอเวอร์ไนท์ ซีรั่ม เป็นการผสมผสานระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไป และโมเลกุลขนาดใหญ่จะช่วยเคลือบที่ผิวด้านนอก เพื่อไม่ให้ผิวเสียความชุ่มชื่น สามารถรักษาไว้ในผิวได้ยาวนาน เหมาะกับทุกสภาพผิว    สำหรับผู้ที่มีปัญหา เกี่ยวกับริ้วรอยรอบดวงตา ขอบตาคล้ำ และริ้วรอยบริเวณใบหน้า คังเซน ขอแนะนำผิวนุ่มชุ่มชื้น อวบอิ่ม ด้วยไฮยารอส ลด25% ซีรั่ม"ล็อคความชุ่มชื้น คืนความสดชื่นให้กับผิว" ผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานระหว่างกรดไฮยาลูโรนิก Hyaluronic Acid (HA) หรือโซเดียม ไฮยาล
ูโรเนท ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กสามารถซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ .รักษาร่องใต้ตา+รอบตาหมีแพนด้า.ซีรั่มบำรุงผิวปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม เนื้อบางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว ด้วยส่วนผสมของ Sodium Hyaluronate จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สามารถซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไป และโมเลกุลขนาดใหญ่จะช่วยเคลือบที่ผิวด้านนอก เพื่อไม่ให้ผิวเสียความชุ่มชื้น รับรองว่าถ้าคุณได้ลองใช้แล้วจะติดใจ
รายละเอียด : ซีรั่มบำรุงผิวปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม เนื้อบางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว ด้วยส่วนผสมของ Sodium Hyaluronate จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับผิวหน้าให้กระชับเต่งตึงและเปล่งปลั่ง
วิธีใช้ :ใช้ทาบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตาและใบหน้าก่อนนอน (เหมาะกับทุกสภาพผิว)
Detail : Hyaluronic Acid (HA)   Kristine Ko-Kool Hyalos Overnight Serum Order=>click Here
A combination of small Sodium Hyaluronate molecules that can quickly be absorbed by a deeper skin layer and the larger molecules to coat your skin and longer retain moistures within.
Use :Wash your face clean. Apply other nourishing cream normally used then apply with ?Kristine Ko-Kool Hyalos Overnight Serum? around eyes area and face before bedtime.(Suitable for all skin types.)

กรดไฮยาลูรอนิค ,Hyaluronic Acid(HA) คือ

กรดไฮยาลูรอนิค Hyaluronic Acid หรือ HA เพื่อการบำรุงผิว และลดเลือนริ้วรอย แนะนำให้ใช้ คริสติน โคคูล ไฮยาลอส  โอเวอร์ไนท์ ซีรั่ม  ผลิตภัณฑ์ จาก  คังเซน  คนส่วนใหญ่ เวลาที่นึกถึงสาเหตุถึงความชรา ความหย่อนยานของผิว ริ้วรอยที่ปราฏขึ้น หรือผิวที่ขาดความชุ่มชื่น มักจะคิดถึงแต่ collagen, elastin และการแสดงอารมณ์บนผิวหน้าอย่างสุดซึ้งไปเท่านั้น แต่ยังลืมนึกไปว่า สิ่งที่สำคัญมากอีกตัวหนึ่งนั้นก็คือ กรดไฮยาลูรอนิค นั่นเอง
Hyaluronic Acid (HA)คืออะไร  มันคือกรดที่ร่างกายของเราผลิตขึ้นมา มีอยู่ทั่วไปตามร่างกาย และโดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์ เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่น เช่นจุดเชื่อมต่อบริเวณหัวเข่า ถ้าขาดสารตัวนี้ จะมีผลทำให้การเดินจะเจ็บปวดเพราะว่าไม่มีตัวช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกข้อต่อนั่นเอง, และมันยังถูกใช้ในวงการแพทย์อีกด้วยนะ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่ออีกด้วย ประโยชน์ของ กรดไฮยาลูรอนิค ที่มีต่อผิวหน้าแต่สำหรับผิวหน้าของเรานั้น กรดตัวนี้จะถูกผลิตขึ้นและถูกหล่อเลี้ยงจากบริเวณผิวหนังชั้น dermis (ผิวชั้นล่าง) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นบน) บทบาทสำคัญที่เราควรตระหนักก็คือ มันจะช่วยให้ผิวหนังสามารถเก็บกักความชุ่มชื่นได้มากกว่าปรกติหลายเท่าเลยละ (โดยที่ไม่เพิ่มความมันแบบที่ไม่ดี sebum บนผิวชั้นนอก ดังนั้นคนที่มีผิวมันก็สบายใจขึ้นมาบ้าง) เมื่อผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวา .. กรดไฮยาลูรอนิคยังช่วยให้รักษาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วกว่าเดิม 80% อีกด้วย นั่นหมายความว่าผิวสามารถที่จะสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ผลดีอีกข้อนั่นก็คือการช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย (plump effect) และโดยปรกติการไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ตามธรรมชาติ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิคนั้นขะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวในส่วนนั้น และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้น เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ 30-40 ขึ้นไป การผลิตกรดไฮยาลูรอนิคตามธรรมชาติก็ลดน้อยลงไปด้วย ผลก็คือผิวที่จะสูญเสียความชุ่มชื่น ผิวแห้งขึ้น และขาดความยืดหยุ่น สิ่งที่จะตามมาไม่ช้านั่นก็คือ ริ้วรอยที่จะเพิ่มมากขึ้น และความแก่ชราก็จะปรากฏชัดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิคสำหรับผู้ที่มีอายุมากขึ้นหรือผู้ที่มีผิวแห้ง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือไปจากการบำรุงและเสริมสร้างแต่เพียง collagen – elastin และลดริ้วรอยแค่พื้นผิวภายนอกตามปรกติ  คริสติน โคคูล ไฮยาลอส  โอเวอร์ไนท์ ซีรั่ม  ผลิตภัณฑ์ จาก  คังเซน  เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา เกี่ยวกับริ้วรอยรอบดวงตา ขอบตาคล้ำ และริ้วรอยบริเวณใบหน้า คังเซน ขอแนะนำผิวนุ่มชุ่มชื้น อวบอิ่ม ด้วยไฮยารอส ลด25% ซีรั่ม"ล็อคความชุ่มชื้น คืนความสดชื่นให้กับผิว" ผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานระหว่างกรดไฮยาลูโรนิก หรือโซเดียม ไฮยาล
ูโรเนท ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กสามารถซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ .รักษาร่องใต้ตา+รอบตาหมีแพนด้า.ซีรั่มบำรุงผิวปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม เนื้อบางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว ด้วยส่วนผสมของ Sodium Hyaluronate จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สามารถซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไป และโมเลกุลขนาดใหญ่จะช่วยเคลือบที่ผิวด้านนอก เพื่อไม่ให้ผิวเสียความชุ่มชื้น รับรองว่าถ้าคุณได้ลองใช้แล้วจะติดใจ   
Kristine Ko-Kool Hyalos Overnight Serum can  help  you???  Detail more click
Hyaluronic Acid: History, Chemical Structure, and its Benefits for the Body
What is Hyaluronic Acid?  Hyaluronic Acid (HA), also known as hyaluronan or hyaluronate, is a carbohydrate, more specifically a mucopolysaccharide occurring naturally throughout the human body. It can be several thousands of sugars (carbohydrates) long. When not bound to other molecules, it binds to water giving it a stiff viscous quality similar to “Jello”. This viscous Gel is one of the most heavily researched substances in medicine today with thousands of trials mostly in the fields of orthopedics and eye surgery. Its function in the body is, amongst other things, to bind water and to lubricate movable parts of the body, such as joints and muscles. Its consistency and tissue-friendliness allows it to be beneficial in skin-care products as an excellent moisturizer. Because HA is one of the most hydrophilic (water-loving) molecules in nature with numerous benefits for the human body it can be described as "nature's moisturizer".
Hyaluronic Acid Benefits for the Body?If we compare the joints of the human body to an automobile engine, the joint fluid in the body mimics the oil in a car engine. At regular intervals we replace the oil in our car engines because the heat and friction breakdowns the oils viscosity. The oil becomes thinner and less able to protect the metal surfaces from excessive wear. Hyaluronic acid benefits our joints in the same way. As we age the viscosity of the joint fluid lessens. HA helps to maintain normal joint cushioning.
What is Hyaluronic Acid's Chemical Structure? It is naturally produced in the human body and is chemically classified as a Glycosaminoglycan. In the body, hyaluronic acid always presents itself as a large high molecular weight molecule. The molecule is made up of a repetitive sequence of two modified simple sugars, one called glucuronic acid and the other N acetyl glucosamine. These compounds are both negatively charged and when put together, they repel producing an exceptionally long stretched out molecule (high molecular weight). HA molecules that are long and large in size produce a high viscosity (lubrication) effect which resists compression and allows our joints and skin to bear weight.
Where is Hyaluronic Acid located in the body?Hyaluronic Acid is found naturally in most every cell in the body and occurs in high concentrations in specific body locations. In each body location, it serves a different function. Unfortunately, HA also has a half-life ( the time it takes for the molecule to get broken down and excreted from the body) of less than 3 days and possibly even as little as one day in the skin. For this reason, it is imperative that the body continually replenish itself with HA. Below are some of the areas in the human body where it is present and critical to anatomical function.
Hyaluronic Acid in Bones and Cartilage Hyaluronic Acid is found in all bones and cartilage structures throughout the body. 
Joint structureBoth of these structures provide a resilient rigidity to the structure of the human body. HA is especially found in various forms of cartilage but none more than the hyaline cartilage. As you've probably guessed it, hyaline is short for hyaluronic acid. Hyaline cartilage covers the ends of the long bones where articulation (bending) occurs and provides a cushioning effect for the bones. The hyaline cartilage has been called the "gristle cartilage" because its resistance to wear and tear. Hyaline cartilage also supports the tip of the nose, connects the ribs to the sternum and forms most of the larynx and supporting cartilage of the trachea and bronchial tubes in the lungs.

Hyaluronic Acid in Synovial fluid

Our joints (like the elbows and knees) are surrounded by a membrane called the synovial membrane which forms a capsule around the ends of the two articulating bones. This membrane secretes a liquid called the synovial fluid. Synovial fluid is a viscous fluid with the consistency of motor oil. It has many functions, but none more than providing the elastic shock absorbing properties of the joint. Its second most important function in the joint is to carry nutrients to the cartilage and to also remove waste from the joint capsule.
Hyaluronic Acid in Tendons and Ligaments/Connective tissue  Connective tissue is found everywhere in the body. It does much more than connect body parts; it has many forms and functions. Its major functions include binding, support, protection, and insulation. One such example of connective tissue is the cordlike structures that connect muscle to bone (tendons) and bone to bone (ligaments). In all connective tissue there are three structural elements. They are ground substance (hyaluronic acid), stretchy fibers (collagen and elastin) and a fundamental cell type. Whereas all other primary tissues in the body are composed mainly of living cells, connective tissues are composed largely of a nonliving ground substance, the hyaluronic acid, which separates and cushions the living cells of the connective tissue. The separation and cushioning allow the tissue to bear weight, withstand great tension and endure abuse that no other body tissue could. All of this is made possible because of the presence of the HA and its ability to form the gelatinous ground substance fluid.
Hyaluronic Acid in Scalp Tissue and Hair Follicles
Structurally the scalp is identical to the skin tissue located throughout the body except it also contains about 100,000 hair follicles that give rise to hair. Actually the hair and the hair follicle are a derivative of skin tissue. There are two distinctive skin layers, one, the epidermis (outer layer) which gives rise to the protective shield of the body and the other, the dermal layer (deep layer) which makes up the bulk of the skin and is where the hair follicle is located. This dermal layer is composed of connective tissue and the connective tissue, with its gelatinous fluid like characteristics provides support, nourishes and hydrates the deep layers of the scalp. The result is healthy lustrous hair and a moisturized scalp. Again, all of this is made possible because of the presence of HA in the scalp.

LipsHyaluronic Acid in Lips

The lips are a core of skeletal muscle covered by skin tissue. The dermal layer of the lips is composed primarily of connective tissue and its components hyaluronic acid and collagen that give the structure (shape) and plumpness to the lips. The HA binds to water creating a gelatinous fluid that hydrates the surrounding tissue and keeps the collagen (responsible for keeping the skin tight) nourished and healthy. The result is healthy well hydrated and plump lips that are well protected from the environment.

Hyaluronic Acid in Eyes

Hyaluronic acid is highly concentrated inside the eyeball. The fluid inside the eye called the vitreous humor is composed almost completely of hyaluronic acid. The HA gives the fluid inside the eye a viscous gel like property. This gel acts as a shock absorber for the eye and also serves to transport nutrients into the eye. HA has been directly injected into the eye during procedures to help maintain the shape of the eye during surgery. It has been said that after the 5th decade of life, our eyes stop producing the much needed hyaluronic acid resulting in various eye needs.

Hyaluronic acid in the gums

Hyaluronic Acid in Gum Tissue

The Gums (gingivoe) are composed of dense fibrous connective tissue (ligaments) which secure the teeth to the aveloar bone (jaw bone). Once again, connective tissue is composed of a fibrous tissue surrounded by hyaluronic acid (extra-cellular matrix). Without the presence of HA, the gum tissue becomes unhealthy. If it is present it helps to provide the tensile strength of the ligaments that secure the tooth in place by providing hydration and nourishment. The result is a healthy set of gums.

Hyaluronic acid in the skinSkin

Although Hyaluronic Acid (HA) can be found naturally in most every cell in the body, it is found in the greatest concentrations in the skin tissue. Almost 50% of the bodies HA is found here. It is found in both the deep underlying dermal areas as well as the visible epidermal top layers. Young skin is smooth and elastic and contains large amounts of HA that helps keep the skin stay young and healthy. The HA provides continuous moisture to the skin by binding up to 1000 times its weight in water. With age, the ability of the skin to produce HA decreases.
ECM (ground substance)

The extracellular matrix (ECM) is a gelatinous (gel-like) fluid that surrounds almost all living cells and is essential to life. It gives structure and support to the body and without it, we would just be a trillions cells without a shape or function. It is essentially the mortar between the bricks. The skin, bones, cartilage, tendons and ligaments are examples where the ECM is located in the body. The ECM is composed of material (fibrous elements) called elastin and collagen surrounded by a gelatinous substance (Hyaluronic Acid). HA's roles in the ECM is to help the stretchy fibers in the body from overstretching and drying out by continually bathing them in this nutritious water base gelatinous fluid. It also serves as a wonderful medium through which nutrients and waste are transported to and from the cells of these structures. This fluid would not exist if it was not for the ability of the HA molecule to bind up to 1000 times its weight in water.
Hyaluronic Acid in the skin  The skin is the largest organ in the body comprising about 15% of the body weight. Roughly 50% of the Hyaluronic Acid in our body is found in the skin. HA and Collagen are vital to maintaining the skin’s layers and structure. It is the collagen that gives the skin its firmness but it is the HA that nourishes and hydrates the collagen. Imagine the collagen as the stretchy fibers that restore the skin back to shape when stretched. Collagen is like a rubber band but stretch that rubber band a million times, like what we do with our skin and without any moisture. Eventually that rubber band gets overstretched (saggy) and dried out and will most likely break. This is much the same way the collagen in our skin reacts leaving our skin in need of moisture. Now imagine that same rubber band stretched a million times while under water the whole time. Chances of that rubber band drying out and breaking are minimal. Consider the Hyaluronic Acid as the water that keeps the collagen moist and elastic. Collagen is continuously surrounded and nourished by the gelatinous HA substance. Young skin is smooth and highly elastic because it contains high concentrations of Hyaluronic Acid, which helps skin stay healthy. As we grow older, the body loses its ability to maintain this same concentration in the skin. With decreasing levels of HA in the skin, so goes the ability of the skin to hold water. The result, the skin becomes drier and loses its ability to maintain it's hydration. Hyaluronic acid acts as a space filler by binding to water and thus keeping the skin wrinkle-free.

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารต้านอนุมูลอิสระ จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร


สารต้านอนุมูลอิสระ จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร
"อาหาร" จัดได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญโดยมีบทบาทในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งผลการศึกษาจากงานวิจัยทางคลินิกและระบาดวิทยา (เป็นงานวิจัยที่เก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากเพื่อหาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อกัน เช่น ปัจจัยเรื่องอาหารกับการเกิดโรคเบาหวาน เป็นต้น) ได้ยืนยันว่า การบริโภค ผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีและพืชสมุนไพรต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ นั้นช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังที่กล่าวถึงข้างต้นได้
สารต้านอนุมูลอิสระคืออะไร
ในทางเคมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)  คือ สารประกอบที่สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดกระบวนการออกซิเดชั่น กระบวนการออกซิเดชั่นมีได้หลายรูปแบบ เช่น กระบวนการออกซิเดชั่นที่ทำให้เหล็กกลายเป็นสนิม ทำให้แอปเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือทำให้น้ำมันพืชเหม็นหืน หรือกระบวนการออกซิเดชั่นที่เกิดในร่างกาย เช่น การย่อยสลายโปรตีนและไขมันจากอาหารที่กินเข้าไป มลพิษทางอากาศ การหายใจ ควันบุหรี่ รังสียูวี ล้วนทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายของเราซึ่งสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้ ในความเป็นจริงไม่มีสารประกอบสารใดสารหนึ่งสามารถป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นได้ทั้งหมด แต่ละกลไกอาจต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันในการหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น ในอีกทางหนึ่ง กระบวนการออกซิเดชั่นเป็นกระบวนการที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น เราใช้ออกซิเจนจากอากาศที่หายใจเข้าไปไปเผาผลาญอาหารที่ร่างกายได้รับให้เป็นพลังงานสำหรับการทำงานของเซลล์ต่างๆ แต่ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นผลพลอยได้ อนุมูลอิสระต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่สำคัญในร่างกาย เช่น ไขมัน โปรตีน ดีเอ็นเอ ทำให้เกิดความเสียหายต่อโมเลกุลดังกล่าว ตัวอย่างเช่น เมื่ออนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับแอลดีแอล (LDL : low-density  lipoprotein) ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลตัวเลวทำให้เกิดออกซิไดซ์แอลดีแอล (oxidized LDL) ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่า ออกซิไดซ์แอลดีแอลเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดและเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจ (ภาพที่ ๑-๕)

อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเนื่องจากมีมูลเหตุจากออกซิเจน จึงมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า reactive oxygen species (ROS) อนุมูลอิสระที่สำคัญ ได้แก่
ซูเปอร์ออกไซด์ แอนไอออน (superoxide anion) O2-l
ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide); H2O2
ไฮดรอกซิลแรดดิเคิล (hydroxyl radical); lOH

บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ
ทำไมการที่สารต้านอนุมูลอิสระสามารถป้องกันหรือกำจัดอนุมูลอิสระได้จึงมีความสำคัญ มีงานวิจัยมากมายบ่งชี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรคโดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมอง (เช่น อัลไซเมอร์) เป็นต้น รวมทั้งช่วยชะลอกระบวนการบางขั้นตอนที่ทำให้เกิดความแก่โดยปกติร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำอันตราย แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระเร็วหรือมากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดทัน อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สารต้านอนุมูลอิสระลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้ ๒ ทาง คือ
๑. ลดการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย
๒. ลดอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระไม่สามารถแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สามารถชะลอให้ความเสียหาย เกิดช้าลงได้โดยเฉพาะโรคเรื้อรังซึ่งเป็นผลลัพธ์สะสมที่เกิดจากเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำอันตรายและเสียหายเป็นปีๆ (โดยมากเป็นเวลาหลายสิบปี) เห็นได้จากการรวบรวมความชุกของโรคว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นมากในผู้ใหญ่วัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ ดังนั้นบุคคลทุกเพศทุกวัยจึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระให้พอเพียงต่อความต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายระหว่างสารต้านอนุมูลอิสระ และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น
สารต้านอนุมูลอิสระได้แก่อะไรบ้างและมีในอาหารประเภทใด
สารต้านอนุมูลอิสระหรือสารแอนติออกซิแดนซ์ (antioxidants) ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม บีตาแคโรทีน วิตามินเอ พฤกษาเคมีต่างๆ (phytochemicals) เช่น สารประกอบฟีโนลิก (polyphenol) จากชาและสมุนไพรบางชนิด ไอโซฟลาโวน (isoflavones) จากถั่วเหลือง เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระพอเพียงกับความต้องการ เราควรกินผักผลไม้สีเข้มเป็นประจำโดยล้างให้สะอาดทุกครั้ง นอกจากจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังจะได้รับใยอาหารด้วย ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับใยอาหารเช่นกัน เนื่องจากใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ช่วยป้องกัน อาการท้องผูก ช่วยนำโคเลสเตอรอลออกจากร่างกาย เร่งการนำสารพิษที่อาจทำให้เป็นมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกายเร็วขึ้น สุดท้ายผู้เขียนขอแนะนำข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยดังนี้
ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
๑. กินผัก ผลไม้ ถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง เช่น (เต้าหู้หลอด เต้าหู้แผ่น) และธัญพืชเป็นประจำ
๒. ลดการกินไขมัน อย่าให้เกิน ร้อยละ ๓๐ ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน ลดไขมันจากสัตว์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีกรดไขมันกลุ่มทรานส์แฟตตีแอซิด (trans fatty acid) เช่น มาร์การีน เนยขาว โดนัต มันฝรั่งทอด เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid) สูง เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา น้ำมันมะกอก
๓. กินอาหารให้หลากหลาย กินปลา ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ลดปริมาณเนื้อแดงที่บริโภคลง
๔. ลดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ไม่ควรกินเกินวันละ ๓๐๐ มิลลิกรัม
๕. เพิ่มการกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว ธัญพืช มันฝรั่ง
๖. ลดอาหารเค็ม ดื่มน้ำสะอาดวันละ ๑-๒ ลิตร
๗. ดื่มนมพร่องไขมัน
๘. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
๙. ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
๑๐. งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์
อย่าลืม ออกกำลังกายทุกวันโดยไม่หักโหม

อ้างอิงจาก หมอชาวบ้าน

12 สูตรสวยด้วยผักและผลไม้


12 สูตรสวย ด้วยผักและผลไม้ใกล้ตัว
ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
                    
การดูแลผิวหน้าด้วยสมุนไพรของสตรีทั่วโลกพบว่ามีการใช้กันมานานมากกว่า ๑ พันปีมาแล้วปัจจุบันได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสมุนไพร ผัก ผลไม้ ไข่แดง น้ำผึ้ง นม และสิ่งที่ส่วนใหญ่กินได้เหล่านั้นอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน น้ำตาล และสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
ประเทศไทยเองมีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลผิวพรรณมาอย่างยาวนานเช่นกัน ทั้งยังเป็นประเทศที่ร่ำรวยผักและผลไม้ ซึ่งทำให้สามารถเลือกใช้ได้ตามชนิดต่างๆ ทุกฤดูกาล ตามภูมิภาคที่สามารถหาผัก ผลไม้ สมุนไพร ได้แตกต่างกันไป

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับผิวหน้า
ใบหน้าเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนจดจำ ผิวหน้า ที่ชุ่มชื้น เรียบเนียน มีความยืดหยุ่น (หรือที่เรียกกันว่าหน้าเด้ง) ไม่มีจุดด่างดำเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  แต่ด้วยสภาพของวัยที่สูงขึ้น และมีโรคประจำตัวบางอย่าง  สภาพของวิถีชีวิต เช่น นอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เครียด เป็นต้น ทำให้คนเราไม่สามารถมีผิวเรียบเนียนเช่นนั้นได้ การใช้สมุนไพรร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจะส่งผลทำให้มีผิวพรรณที่ดีได้ยาวนาน

การใช้สมุนไพรสำหรับผิวหน้ามีหลักการง่ายๆ ดังนี้
- ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสะอาด 
- สมุนไพรสดใหม่มีคุณภาพดี มีการย่อยขนาดจนละเอียด ไม่มีการระคายเคืองต่อผิวหนัง
- เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย จำง่ายๆ ก็คืออะไรที่กินได้ (เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ) นั้นสามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้
- ต้องเชื่อมั่นธรรมชาติของผิวหนังที่มีกลไกดูแลตัวเองอยู่แล้ว ต้องรักษากลไกนั้นไว้นานๆ
     
ข้อควรรู้เกี่ยวกับผิวหนัง
ผิวหนังมีหน้าที่ห่อหุ้มอวัยวะภายใน มีกลไกในการป้องกันผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย  ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมการซึมผ่านของสารต่างๆ ผ่านโครงสร้างของผิวหนัง รูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ  
                    
ผิวพรรณที่ดีควรมีความชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่แห้งผาก ผิวพรรณที่แห้งผากจะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย เป็นฝ้า เป็นโรคทางผิวหนังได้ง่าย ซึ่งผิวพรรณจะเต่งตึงได้จาก ๓ องค์ประกอบได้แก่ น้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลล์ถึงร้อยละ ๙๕ สารชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ซึ่งผิวหนังสร้างขึ้นและ น้ำมัน ซึ่งผิวหนังจะมีกลไกการสูญเสียน้ำโดยมีการสร้างไขมันธรรมชาติปกป้องไม่ให้น้ำระเหยไปจากผิวหนัง (ครีมหรือไขมันตามธรรมชาติไม่ได้ไปเพิ่ม) การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน การล้างหน้าบ่อย เกินความจำเป็น การล้างหน้าด้วยสบู่ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดสูงๆ ล้วนทำให้ไขมันและสารที่ให้ความชุมชื้นตามธรรมชาติสูญเสียไป
                    
ผิวพรรณสะท้อนสุขภาพภายใน ความแข็งแรงและกลไกของผิวหนังขึ้นกับเลือด น้ำเหลืองที่มาหล่อ- เลี้ยง ดังนั้น ความเครียด อาหาร การออกกำลังกาย พฤติกรรมสุขภาพ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความงามของผิวพรรณ รวมถึงกรรมพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญต่อการเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน ได้เช่นกัน

สมุนไพรที่ใช้เพื่อความงามของผิวหน้า

1).ว่านหางจระเข้ Aloe barbadensis Mill.
ป้องกันผิวแห้ง ทำให้เรียบลื่น เพิ่มความชุ่มชื้นต้านการอักเสบ ป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต 
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนานนับพันปี มีบันทึกทั้งใน กรีก โรมัน ซาอุดีอาระเบีย จีน อินเดีย เล่ากันว่าเจลจากว่านหาง-จระเข้เป็นเคล็ดลับความงามของพระนางคลีโอพัตรา
                    
ใบว่านหางจระเข้มีน้ำเมือก และวุ้นมีสารสมาน    ผิว ช่วยลอกผิวหนังที่หยาบแห้งและเกิดผิวหนังใหม่     ที่นุ่มนวลขึ้นมาแทน สารนี้เป็นสารช่วยย่อยมีชื่อว่า     คาร์บอกซีเพปทิเดส (carboxypeptidase) และสารพวกสารเมือก (mucilage) สารช่วยย่อยตัวนี้จะมีฤทธิ์ลดการเจ็บปวด การอักเสบบวมของแผล ส่วนสารอะล็อก-ทินเอ (aloctin A) เป็นไกลโคโปรตีน จะไปช่วยทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วถูกทำลายไป และจะเพิ่มปริมาณของเซลล์ที่เกิดมาใหม่ให้มากขึ้น จึงทำให้แผลหายเร็ว 
วุ้นจากว่านหางจระเข้ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นนอกได้จากสารเมือก และสารโพลีแซ็กคาไรด์ 
       
การเตรียมว่านหางจระเข้
ควรใช้ว่านหางจระเข้อายุ ๑ ปีขึ้นไป เลือกใบล่างสุด ปอกเปลือกออกใช้ส่วนที่เป็นวุ้นใสๆ ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด วิธีล้างยางออกให้หมดต้องนำใบหางจระเข้ที่เพิ่งตัดออกมายังไม่ต้องปอกเปลือก ให้นำทั้งใบไปแช่น้ำจนน้ำยางสีเหลืองไหลออกมาจนหมด จึงนำไปล้างน้ำอีกครั้งแล้วจึงค่อยปอกเปลือก โดยฝานลึกๆ เอาแต่วุ้นข้างในแล้วนำวุ้นมาล้างอีกครั้งหนึ่ง

การใช้ว่านหางจระเข้
ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่เป็นสิว จะทำให้สิวยุบตัว และไม่เป็นแผลเป็น
ใช้เจลจากใบสดๆ ตัดเป็นชิ้นขนาดพอดีกับ   เปลือกตา วางทับบนเปลือกตารักษาผิวบริเวณดวงตา บวมช้ำ
ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ล้วนๆ ทาที่ใบหน้าทิ้งไว้เพื่อบำรุงผิว (สำหรับคนหน้าแห้งอาจจะผสมกับครีมทาหน้าทั่วไปก็ได้) ซึ่งจะช่วยแก้ไขรอยหมองคล้ำ ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ใช้เป็นประจำจะลดรอยแผลเป็นจากสิว  รักษาฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า
ใช้ทาบนผิวหน้าในลักษณะของโทนเนอร์เพื่อป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต หรือเป็นรองพื้นสำหรับคนที่ผิวมันซึ่งทำให้แต่งหน้าลำบาก ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วใบหน้า เสร็จแล้วแต่งหน้าตามปกติ ทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าไม่ลบเลือนง่าย
ใช้พอกหน้าเพื่อแก้ปัญหาผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง โดยใช้ว่านหางจระเข้ ๓ ส่วน น้ำผึ้ง ๑ ส่วน น้ำมะนาว ๑ ส่วนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ ๒๐ นาที จึงล้างออก จะช่วยสมานรูขุมขนและทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น
ใช้ทำเป็นครีมล้างหน้า ครีมพอกหน้า เช่น ใช้วุ้น ว่านหางจระเข้ ผสมน้ำนม ทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาทีแล้ว  ล้างออก บำรุงผิว ลดการเกิดสิว หรือใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น เช่น ว่านหางจระเข้ ๖ ส่วน บัวบก ๒ ส่วน รำข้าวสาลี ๒ ส่วน นม ๐.๕ ส่วน น้ำผึ้ง ๐.๕  ส่วน ซึ่งแล้วแต่สภาพผิว ถ้าผิวแห้งก็ใส่นมมาก ถ้า    ผิวมันก็ลดปริมาณนมแล้วเพิ่มปริมาณน้ำผึ้ง  นำส่วนผสมมาปั่นผสมกัน พอกหน้าทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที     นวดคลึงเบาๆ ผิวหน้าจะสดใส ลบรอยแผลเป็นและ   จุดด่างดำ ให้พอกสม่ำเสมอสัปดาห์ละประมาณ ๑ ครั้ง

2). มะเขือเทศสุก Lycopersicon esculentum Mill. 
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น
น้ำคั้นจากผลมะเขือเทศมีวิตามินหลายชนิด จึงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและมีสารกลูโคอัลคาลอยด์ ชื่อโทเมทีน (tomatine)  เป็นสารที่ออกฤทธิ์สมานแผล นอกจากนั้น มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยล้างผิวหน้าให้สะอาดนุ่มนวล ปรับสภาพผิวแห้งกร้าน และคืนสภาพผิวชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี

การเตรียมมะเขือเทศ
สามารถใช้มะเขือเทศได้ทั้งลูกโดยไม่ต้องปอกเปลือก

การใช้มะเขือเทศ
ฝานมะเขือเทศวางบนใบหน้าสักครู่  จะช่วยทำให้ใบหน้าสะอาด  และดูเต่งตึงเปล่งปลั่งขึ้น 
มะเขือเทศปั่นผสมกับข้าวโอ๊ตหรือรำข้าว พอกหน้า ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก
เนื้อมะเขือเทศสุกบดละเอียด ลูบไล้ปลายหางตาจะลดการเหี่ยวย่น ป้องกันการเกิดริ้วรอยตีนกา ต้องทำทุกวันจึงจะเห็นผล
มะเขือเทศสุกบดละเอียด ผสมน้ำนมสด เป็น beauty mask พอกหน้าทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก พอกเป็นประจำจะทำให้ผู้ที่มีหน้าดำเป็นจุดๆ ค่อยๆ ขาวขึ้น ช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น

3).  ฝรั่ง Psidium guajava Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ สมานผิว
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่สตรีในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกนิยมใช้เป็นเครื่องสำอางทาผิวหน้า โดยที่ฝรั่งมีโพแทส-เซียม น้ำตาล และกรดอะมิโนที่สามารถดึงน้ำให้อยู่ชั้นบนของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นขึ้น นอกจากนี้ ฝรั่งยังมีวิตามินสูงที่สำคัญคือวิตามินบี ๒  ซึ่งถือว่าเป็นวิตามินเพิ่มพลัง ซึ่งจำเป็นในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมทั้งมีวิตามินบี ๕ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเซลล์เช่นกัน ฝรั่งยังสามารถป้องกันผิวหน้าไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มการสร้างเซลล์ใหม่จากการที่ในฝรั่งมีวิตามินเอ วิตามินซี รีดิวซิ่งชูการ์ (reducing sugar) แมกนีเซียม และทองแดง

การเตรียมฝรั่ง
เลือกฝรั่งที่สดและไม่สุกจนเกินไป เอาเฉพาะส่วน ที่เป็นเนื้อ ไม่ใช้เมล็ด ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กก่อนปั่น และต้อง เติมน้ำลงไปจำนวนหนึ่งทุกครั้งในการปั่น เพราะฝรั่งมีน้ำอยู่น้อย 

การใช้ฝรั่ง
เนื้อฝรั่งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วย น้ำ ๑_๒ ถ้วย น้ำผึ้ง  ๑_๔ ถ้วยปั่นจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ ๑๐-   ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เกลี้ยงเกลาและนวลเนียนขึ้น

4). แตงกวา Cucumis sativusLinn. 
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการบวมแดง สมานผิว
แตงกวาเป็นสมุนไพร เก่าแก่ชนิดหนึ่งซึ่งสาวทั่วโลกใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนาน โดยแตงกวาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น มีสารกลูซิด (glucids) กรดอะมิโน และเกลือแร่ต่างๆ ไปช่วยทำให้เกิดของสารชุ่มชื้นตามธรรมชาติที่ผิวหนังขึ้นมาใหม่
แตงกวายังช่วยทำให้ผิวหนังคงความเยาว์วัย มีความยืดหยุ่นจากการที่แตงกวามีสารซิสทิน (cystin) และเมทิโอนิน (methionin) และยังมีสารโพลีแซ็กคาไรด์ ที่ช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ต้านการเป็นปื้นแดง ซึ่งจะมีประโยชน์ในการใช้ทาหลังจากไปตากแดดมา เช่น ไปทำนา ไปตีกอล์ฟ เป็นต้น 
แตงกวาเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าแห้งจากการที่มีคุณสมบัติไปเพิ่มความชุ่มชื้นและเหมาะกับคนที่มีหน้ามันจากคุณสมบัติสมานผิว

การเตรียมแตงกวา
หั่นแตงกวาสดๆ ตามขวางบางๆ วางให้ทั่วใบหน้า
หั่นแตงกวาแล้วปั่นกรองคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้ทา ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน ๒ วัน
นำแตงกวาปอกเปลือก ๔ ส่วน กลีเซอรีน ๓ ส่วน น้ำ ๑ ส่วน ปั่นเข้าด้วยกัน กรอง เก็บน้ำไว้ใช้ได้ประมาณ ๑ ปี นำสารสกัดแตงกวานี้ไปผสมกับเนื้อครีมหรือโลชัน ประมาณ ๒-๔  ช้อนชาต่อครีมหรือโลชัน ๑๐๐ มิลลิลิตร

การใช้แตงกวา
ใช้แตงกวาสดๆ ฝานเป็นชิ้นบางๆ วางให้ทั่วใบหน้าที่ทำความสะอาดแล้ว ทำบ่อยๆ จะทำให้ใบหน้า ดูผุดผ่อง เปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้า ได้อีกด้วย
ใช้น้ำแตงกวามาทาใบหน้าเป็นประจำจะช่วยลดจุดด่างดำ รอยฝ้าที่เกิดจากการผจญแสงแดดและมลพิษ ระหว่างวัน และช่วยบำรุงผิว
ใช้แตงกวาสดปั่นละเอียด ๒-๓ ผล ผสมกับน้ำผึ้ง ๑_๔ ถ้วย หรือนมสด ๑_๒ ถ้วย ปั่นให้ละเอียด นำมาพอก   หน้า ทิ้งไว้ ๑๐ นาที แล้วล้างออก ก่อนนอนทุกวัน เหมาะกับคนผิวแห้ง จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น   
ใช้แตงกวาปั่นละเอียด ๒-๓ ผล โดยผสมกับไข่ขาวดิบตีจนฟู ๑ ฟอง น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ผสมจนเป็น เนื้อเดียวกัน นำมาพอกทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาที ลดความมันบนใบหน้าสำหรับคนผิวมัน และยังช่วยกำจัดสิวเสี้ยน ทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น
ใช้แตงกวาฝานเป็นแว่นแปะที่ดวงตา แตงกวาสดจะมีเอนไซม์ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์บริเวณรอบดวงตาเย็น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลดลง ริ้วรอยน้อยลง
ใช้แตงกวาสดใหม่ทั้งผลปั่นละเอียด ผสมน้ำผึ้งพอเหลว นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ และล้างออกด้วยน้ำอุ่น เนื้อแตงกวาจะช่วยย่อยโปรตีนชั้นนอกที่หยาบกร้านและเกรียมแดดให้หลุดออกมาได้ และยังช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งแตกเป็นขุย

5). มะม่วง Mangifera indica Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เรียบ ลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
มะม่วงมีวิตามินซีและ reducing glucid สูง จึงช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ลบรอยเหี่ยวย่นและต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วงยังมีสารที่เป็นน้ำตาลร่วมกับกรดอะมิโน จึงช่วยทำให้เกิดความเรียบลื่น ชุ่มชื้นบนชั้นของหนังกำพร้า วิตามินเอ วิตามินซี และเกลือแร่ที่มีอยู่ในมะม่วงยังช่วยให้กลไกการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น 

การเตรียมมะม่วง
ปอกเปลือกออก เลือกใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อ

การใช้มะม่วง 
ใช้สำหรับคนเป็นฝ้า นำเนื้อมะม่วงสุกมายีหรือ ปั่น แล้วนำไปพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้จนรู้สึกว่าแห้งจึงล้างออก จะทำให้หน้าขาวและนุ่มนวลขึ้น มะม่วงสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

6). บัวบก Centella asiatica L.
สร้างเซลล์ใหม่ ทำให้เซลล์แข็งแรง ลดอาการบวมคั่ง (decogestion) กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง 
บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการรักษาแผลมาอย่างยาวนาน ทำให้แผลหายเร็วและไม่เป็นแผลเป็น โดยการที่บัวบกไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสทินซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง จากการที่มีสารพวกไตรเทอร์พีน เช่น asiaticoside, madecassoside,    asiatic, madecassic, madisiatic acids เป็นต้น 
                     
นอกจากนี้ ยังมีสารฟลาโวนอยด์เสริมสรรพคุณในการลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง สารในบัวบกเหล่านี้ยังทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ดีขึ้น จึงมีประโยชน์ต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น เป็นการทำให้เซลล์ได้รับอาหารมากขึ้น เซลล์แข็งแรงขึ้น ลดอาการบวมคั่ง แก้ปัญหาผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผิวส้ม

การเตรียมบัวบก
บัวบกเป็นสมุนไพรที่ขึ้นกับดิน ต้องเลือกตัดเอาเฉพาะส่วนที่เหนือดิน แล้วนำมาล้างให้สะอาด บัวบกมีลักษณะเหนียว ถ้านำไปปั่นในเครื่องปั่นทั้งต้นโดยไม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนและจะต้องมีน้ำอยู่ด้วย มิเช่นนั้นจะทำให้เครื่องปั่นทำงานหนักและมีปัญหาได้

การใช้บัวบก
ใบบัวบกส่วนที่เหนือดินตัดรากออก ๑ กำมือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ อาจจะเติมน้ำผึ้งลงไปสัก ๑ ช้อนชา ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันพอกก่อนเข้านอนทิ้ง ไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด พอกได้ทุกวัน จะทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ สดใส ไร้รอยแผลเป็น

7). แครอต Daucus carota L.
ทำให้ผิวหนังเรียบลื่น ควบคุมการสร้างไขมันของต่อมไขมัน ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น
แครอตเป็นผักที่มีวิตามินและเกลือแร่สูงมาก ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าแครอตเป็นสมุนไพรผู้พิทักษ์ผิวที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เนื่องจากแครอตมีสารเพกติน กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารอาหารและสร้างฟิล์มบางเพื่อทำให้ผิวเรียบลื่นและสดชื่นทั้งยังมีสารโปรวิตามินเอ และวิตามินซีซึ่งมีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระ 

นอกจากนี้ วิตามินซี วิตามินเอ แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส ทองแดงซึ่งจำเป็นต่อการสร้างอีลาสทินและคอลลาเจน ส่วนวิตามินในกลุ่มของวิตามินบีและโปร-วิตามินเอจะช่วยในการควบคุมการสร้างไขมันจากต่อมไขมัน แครอตยังช่วยให้หน้าขาวขึ้นจากสารบีตาแคโรทีน 

วิธีเตรียมแครอต
ปอกเปลือกออกก่อนที่จะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปั่น ซึ่งในการปั่นจะต้องมีน้ำอยู่เล็กน้อยให้พอปั่นได้

วิธีใช้แครอต
แครอตหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วยผสม น้ำครึ่งถ้วย เพียงสองอย่างหรือเติมน้ำผึ้งแท้ ๑_๔ ถ้วย (สำหรับคนหน้าแห้ง) หรือไข่ขาว ๑ ฟอง (สำหรับคนหน้ามัน) ลงไป ปั่นรวมกันให้ละเอียด พอกทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เต่งตึงและขาวขึ้น
แครอตต้มสุกนำมาบดให้ละเอียด พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาที 

8). สับปะรด  Ananas comosus (Linn.) Merr.
กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว (keratolysis) ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ลดการ อักเสบ
สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าต่อความงามของผิวพรรณจากการที่สับปะรดมีเอนไซม์ papain ช่วยย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ของชั้นผิวหนังให้หลุดออกมา มีประโยชน์ ต่อผู้ที่มีสิวหัวดำอุดตันที่ใบหน้า ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น สับปะรดยังมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบและยังมีวิตามินเอ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น 

การเตรียมสับปะรด
นำสับปะรดมาปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด

การใช้สับปะรด
น้ำสับปะรด ๑ ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง ๒ ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด ๓ ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วออก
ใช้น้ำที่คั้นได้จากผลสับปะรด นำมาชโลมผิวหน้า ทิ้งไว้พอแห้งแล้วล้างออก จะทำให้หน้าเนียนนุ่ม เนื่องจากสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวชั้นนอกสุดถูกย่อยและขจัดออกไป

9). มะขาม Tamarindus indica Linn.
ลดรอยด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหน้าเรียบลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่นลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ เพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ตำรับความงามที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพบตำรายาสมุนไพรเขียนด้วยภาษาล้านนาว่า "มะขาม ฝักกระดาน สักกำมือแช่น้ำอุ่น ทาตัวทาหน้า ผิวดำและฝ้าย่อมเสี้ยงไป" (เสี้ยง หมายถึง หมดไป) ที่เป็นเช่นนี้เพราะในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะขาม สับปะรด จะมีกรดเอเอชเอ (AHA หรือ alpha hydroxy acid) ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยขัดผิว ลอกผิวด่างดำ และฝ้า 
                    
นอกจากนี้ มะขามยังมีกรดทาร์ทาริก (tartaric acid) กรดซิตริก (citric acid) และกรดมาลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วย ลบรอยด่างดำบนใบหน้า ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กำจัดรอย เหี่ยวย่น ทำให้ผิวขาวนวลเนียน ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้น  แต่มะขามมีข้อได้เปรียบมะนาวและสับปะรดตรงที่มะขาม มีลักษณะเป็นครีมโดยธรรมชาติสามารถใช้ได้ดีกว่า

การเตรียมมะขาม
การใช้มะขามให้ใช้มะขามเปรี้ยวสุก (มะขามหวานใช้ไม่ได้เพราะกรดผลไม้มีน้อย) 
น้ำคั้นมะขามเปียกที่ดีมีคุณภาพ ต้องได้จากการ   คั้นมะขามเปียกสดใหม่ และใช้ทันที ถ้าเก็บในตู้เย็นต้องไม่เกิน ๑ สัปดาห์ ถ้าหากจะกวนเก็บไว้ใช้นานๆ ต้องกวนจนเกือบแห้งซึ่งมักจะกวนใส่นมหรือน้ำผึ้งก็ได้

การใช้มะขาม
มะขามเปียก ๑ กำมือ นมสด ๑ ถ้วย น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ
นำเนื้อมะขามเปรี้ยวสุก ไม่ต้องแกะเมล็ดปั้นเป็น ก้อนกลม ห่อด้วยผ้าขาวบาง ฟอกขัดตัวเมื่ออาบน้ำ จะทำให้ผิวที่คล้ำด้วยแดด หรือลม เป็นผิวที่นวลผ่อง
น้ำมะขามเปียกผสมน้ำพอเจือจางล้างหน้าเป็น ประจำ ช่วยขจัดความมันบนใบหน้า และสิวให้หลุดออกไปอย่างหมดจด
คั้นน้ำมะขามเปียกพอข้น ทาบริเวณที่เกิดฝ้า อาจพอกไว้แล้วลูบไล้ด้วยมือเบาๆ ครั้งละ ๑๐-๑๕ นาที เช้า เย็น เป็นเวลา ๓ สัปดาห์ จะทำให้ฝ้าด่างดำถูกลบเลือนไปจนหมด สำหรับคนผิวแห้งควรผสมนมสดชนิดจืดลงไปด้วย ไขมันและโปรตีนจากนมสดจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้เป็นอย่างดี
                  
ใช้มะขามเปียกที่แกะเมล็ดแล้วขนาดประมาณ ๑ กำมือ นมสด ๑ กล่อง ขยำเข้ากัน กรองด้วยตะแกรง เพื่อเอาซังมะขามออก นำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ พอใกล้งวด เติมน้ำผึ้งลงไป ๑ ช้อนโต๊ะ อาจเติมขมิ้นชันลงไปประมาณ ๑/๔ ช้อนชา (ระวังอย่าใส่มากเกินไปจะทำให้หน้าเหลือง) เคี่ยวต่อจนงวด แต่อย่าให้ข้นเกิน สังเกตว่ายังสามารถแตะขึ้นมาได้ง่าย เสร็จแล้วบรรจุลงในกระปุกสะอาด ถ้าไม่เปิดเลยจะอยู่ได้ประมาณ    ๖ เดือน ใช้ล้างหน้าทุกวันทำให้หน้าขาวขึ้น

10). กล้วย Musa paradisiacal  L.Var. sapientum O.Ktze
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
กล้วยมีสารเมือก เพิ่มความชุ่มชื้น ทั้งยังมีวิตามิน เกลือแร่  โปรตีน อีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังในการเพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น รักษาแผล

การเตรียมกล้วย
ใช้ส่วนที่เป็นเนื้อกล้วยบดหรือปั่น

การใช้กล้วย
ใช้กล้วย ๑ ผล น้ำผึ้ง ๑ ช้อนชาสำหรับคนผิวแห้งหรือน้ำส้มหรือน้ำมะนาว ๑ ช้อนชาสำหรับคนผิวมัน ปั่น ผสมให้เข้ากัน จนละเอียดพอกให้ทั่วหน้า รวมทั้งลำคอ ทิ้งไว้ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เรียบลื่น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น
ใช้กล้วย ๑ ผล ผสมน้ำมันมะกอก ๑ ช้อนชา นำมาปั่น ผสมให้เข้ากัน พอกหน้าจนถึงลำคอ ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที แล้วจึงล้างออก เหมาะกับคนหน้าแห้ง จะทำให้ใบหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น
ใช้กล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือก บดให้เหลว แล้วทาให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดนุ่ม ชุ่มชื้น

11). มะนาว Citrus aurantifolia Swing.
ลดความมันบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
มะนาวเป็นผลไม้เก่าแก่ชนิด หนึ่งในการเป็นเครื่องสำอาง ใช้เพื่อทำให้ผิวนุ่มขึ้น และใช้เพื่อลดความมัน บนใบหน้า ใช้เป็นโทนเนอร์ สำหรับ คนที่หน้ามัน จากการที่มีกรดผลไม้ทำให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ช่วยกำจัดเซลล์ ที่ตายแล้ว และมะนาวยังมีฟลาโว-นอยด์ ทำให้มีการไหลเวียนของเลือด ในหลอดเลือดเล็กดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นของผิวหนังชั้นนอก มะนาวยังมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ โดยทั่วไปแล้วในบ้านเรานิยมใช้น้ำมะนาวเป็นน้ำกระสายยา ร่วมกับการใช้สมุนไพรบำรุงผิวอื่นๆ สำหรับคนผิวมัน

การเตรียมมะนาว
คั้นเอาแต่น้ำมะนาว ควรใช้สดๆ ไม่ควรทิ้งไว้นาน ไม่ควรใช้น้ำมะนาวโดยตรงในการทาผิวหน้า เพราะถ้าใช้เข้มข้น จะทำให้หน้าเหี่ยวย่นได้  

การใช้มะนาว
ใช้น้ำมะนาว ๕-๖ หยดลงในน้ำ ๑ แก้ว  ใช้ล้างหน้า จะทำให้ผิวหนังเนียนนุ่ม 
ใช้น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา น้ำส้มคั้น ๑ ช้อนชา โยเกิร์ต ๓๐ มิลลิลิตร ผสมในอัตราส่วนที่เท่าๆ กันแล้วทาให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาทีแล้วล้างออก จะทำให้สดใส ลบรอยกระ จุดด่างดำ
ใช้น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ไข่ขาว ๑ ฟอง ดินสอพอง  ๔-๕ เม็ดนำมาผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน พอกหน้าทิ้งไว้  ๑๕-๒๐ นาที เหมาะสำหรับคนที่หน้ามันเพื่อลดความมันบนใบหน้า
ใช้น้ำมะนาว ๑/๒ ช้อนชา ไข่แดง ๑ ฟอง ผิวส้มบด  ๑/๒ ช้อนชา พอกหน้าไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที สำหรับคนที่ผิวซีดเซียวจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใสขึ้น
ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำประมาณร้อยละ ๑-๒ แล้วเอาน้ำมะนาวเจือจางนั้นมาผสมกับน้ำมันมะกอก คนตีแรงๆ เร็วๆ แล้วเติมไข่แดงลงไป ๑ ช้อน เอาไปทาหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ เหมาะสำหรับคนหน้าแห้ง หรือหน้าธรรมดา ส่วนคนผิวมันที่ไม่เหมาะจะใช้ไข่แดงหรือน้ำมันมะกอก ก็ให้ใช้สบู่แทน จะเป็นสบู่เหลวหรือสบู่ก้อนก็ได้ตัดมานิดหน่อย มาตีให้เข้ากับน้ำมะนาวเจือจางใช้ทาแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วตามด้วยน้ำเย็น

12). ตำลึง    Coccinia indica Wight & Arn
แก้อักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ 
ตำลึงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี เกลือแร่ และสารต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค คนโบราณนิยมใช้สมุนไพรแก้สิวและพอกหน้าเพื่อทำให้ผิวหน้าสดใส ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในไทยและญี่ปุ่นเริ่มที่จะนำยอดอ่อนและมือเกาะของตำลึงมาเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิว เพราะเชื่อมั่นในคุณสมบัติพิเศษจากสารธรรมชาติที่มีอยู่ในสมุนไพรชนิดนี้

การเตรียมตำลึง
เลือกแต่ใบตำลึงสด ถ้าใช้ตำลึงตัวผู้โบราณว่าจะได้ผลกว่าใบตำลึงตัวเมีย และต้องล้างให้สะอาด (เพราะตำลึงมักจะมีตัวบุ้งอยู่) ก่อนที่จะนำมาปั่นเป็นครีมหรือคั้นเอาน้ำ

การใช้ตำลึง
ใช้ใบตำลึงสดคั้นเอาแต่น้ำ ชุบสำลีแปะบนหัวสิวสักครู่ ประมาณ ๕-๑๐ นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำบ่อยๆ สิวอักเสบจะหายได้และไม่มีรอยแผลจากหัวสิวด้วย
ใช้ใบตำลึงประมาณ ๑ กำมือ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้าด้วยกันจนเป็นครีม นำข้าวสาร (ถ้าเป็นข้าวกล้องได้ก็ดี) ๒ ช้อนชาไปแช่น้ำจนนิ่ม นำไปบดให้ละเอียด แล้วนำไปผสมกับครีมตำลึง นำไปพอกหน้าทิ้งไว้จนแห้ง จึงล้างออก จะช่วยกำจัดพิษบนใบหน้า แก้สิว ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น หรือหากไม่สะดวกในการ เตรียมข้าวสาร จะใช้ครีมตำลึงอย่างเดียวก็ได้

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพร
สมุนไพรทุกอย่างอาจมีบางคนที่แพ้ได้ การทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้นำส่วนผสมที่จะใช้ทาที่ท้องแขนก่อน เพราะผิวหนังบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่บางกว่าหน้า ทิ้งไว้สักพักหนึ่งถ้าไม่เกิดอาการแสบร้อน มีผื่น ถือว่าไม่แพ้ การใช้สมุนไพรเพื่อที่จะได้ผลต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล ตำรับต่างๆ ในการใช้สมุนไพรเพื่อความงามส่วนใหญ่เป็นผลไม้หรือผักที่ไม่ได้ตายตัว สามารถที่ปรับได้ ผสมสูตรขึ้นมาใหม่ได้ตามชนิดผลไม้หรือผักที่มีอยู่ ระยะเวลาในการทำหรือพอกก่อนล้างออกนั้นไม่ได้ตายตัว ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน คนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้เวลาน้อยกว่า และการใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะตำรับที่มีกรดผลไม้ (ที่มักมีในมะขาม มะนาว สับปะรด) ซึ่งต้องมีการปรับตัวในการใช้ช่วงแรกๆ ต้องใช้ปริมาณน้อยๆ และในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนใช้ เช่น ถ้าใช้มะขามล้างหน้า ในช่วงแรกอาจจะต้องล้างออกทันทีประมาณ ๑ สัปดาห์ ก่อนทาหรือพอกทิ้งไว้ สามารถปรับตามสภาพของผิว เช่น ผิวแห้ง ควรใช้ น้ำนมโยเกิร์ต ไข่แดง  ผิวมัน ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม ไข่ขาว  ส่วนน้ำผึ้งสามารถเติมลงไปได้ทุกสภาพผิว

อ้างอิงจาก หมอชาวบ้าน

KK Acne Control 30 capsules เค เค แอคเนส คอนโทรล 30 แคปซูล

Item Code : 40314
KK Acne Control 30 capsules (19.95 g.)

รหัสสินค้า : 40314
เค เค แอคเนส คอนโทรล 30 แคปซูล (19.95 กรัม)
ราคาปกติ 990 ฿ ลด 25% เหลือ 740฿ เท่านั้น   วิธีชำระเงิน ที่นี่




ผลิตภัณฑ์ เคเค แอคเนส คอนโทรล (บำรุงผิว รักษาสิว)
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ วิตามีนและแร่ธาตุ รวม 12 ชนิด "อวดผิวสวยอย่างมั่นใจ ไร้สิว" ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บำรุงผิวพรรณ ไลโคปีน แอล-กลูต้าไทโอน และวิตามิน ซี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิว ทั้งสิวอุดตัน และสิวอักเสบ สำหรับผู้มีปัญหาเรื่องสิวบนใบหน้า ลองทานดูสิค๊ะ ตัวนี้รับรองเลยว่าได้ผลดีมากๆๆเลยค่ะ รายละเอียดอื่นๆๆ  สอบถามได้ที่นี่




รายละเอียด :
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไลโคปีน แอล-กลูต้าไทโอน และวิตามิน ซี
ส่วนประกอบที่สำคัญ ใน 1 แคปซูล (665 มก.) ประกอบด้วย โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง แคลเซียม แอสคอร์เบต แอล-อาร์จินีน สารสกัดจากขมิ้น สารสกัดจากชาเขียว ไลโคบิน วิตามิน บี 3 วิตามิน อี ซิงค์ กลูโคเนต สารสกัดจากใบบัวบก แอล-กลูต้าไทโอน เบต้า แคโรทีน

คำเตือน : เด็ก และสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน ควรกินอาหารให้หลากหลาย ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ ไม่มีผลในการป้องกัน หรือรักษาโรค

ขนาดบรรจุ : 30 แคปซูล (19.95 กรัม)

วิธีใช้ :
รับประทานวันละ 1 แคปซูล

Detail :
Dietary Supplement Lycopene, L-Glutathione and Vitamin C.

Use :
Take 1 capsule daily.



ผลิตภัณฑ์ เคเค แอคเนส คอนโทรล
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ วิตามีนและแร่ธาตุ รวม 12 ชนิด "อวดผิวสวยอย่างมั่นใจ ไร้สิว"

สารอาหารเพื่อการดูแล และแก้ปัญหาสิว

1. โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง (Isolate Soy Protein)
อุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็น และไอโซฟลาโวน (Isoflavone)
- ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน ไม่ให้มีการผลิตไขมันมากเกินไปลดการเกิดสิวอุดตัน
- เสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้มีสุขภาพดี ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอให้แข็งแรง
- ช่วยทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง และคงความยืดหยุ่น
2. ซิงค์ กลูโคเนต (Zinc Gluconate)
-รักษาสมดุลของไขมันใต้ผิวหนัง ลดการเกิดสิวอุดตัน
-ลดการติดเชื้อ และการอักเสบของสิว
-ช่วยสมานผิว และลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว
3. แคลเซียม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate)
แคลเซียม แอสคอร์เบต คือ วิตามิน ซี ในรูปของเกลือ ความเป็นกรดลดลง และดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
- ช่วยลดการติดเชื้อ และการอักเสบของสิว
- ช่วยให้แผลเป็นจากสิวหายเร็วขึ้น
- ช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิว ยืดหยุ่น กระชับ และเต่งตึง
- ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวใส
4. สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica Extract)- ลดการอักเสบของสิว และต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง
- ช่วยสมานแผล ด้วยการเสริมสร้างเซลล์ใหม่ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรง
- เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
5. แอล-อาร์จินีน (L-Arginine)
- ช่วยให้รอยแผลเป็นต่างๆ ที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น
- กระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
- เสริมสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่สึกหรอ
6. สารสกัดจากขมิ้น (Turmeric Extract)
- ช่วยลดการอักเสบของสิว และต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง
- ช่วยสมานแผล กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำของผิว และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
7. แอล-กลูต้าไทโอน (L-Glutathione)
- เป็นสารอาหารหลักในการปกป้องผิวจากรังสี UV
- ช่วยควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้า กระ รอยหมองคล้ำจางลง
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
8. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract)
- ช่วยลดการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสิว
- ช่วยลดการอักเสบของสิว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
- ช่วยขับล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกาย
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และอนุมูลอิสระ
9. ไลโคปีน (Lycopene)
- ลดการหลุดลอกของเซลล์ผิว ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และอนุมูลอิสระ
- เพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณผิวหนัง ทำให้ผิวได้รับอาหาร และอ๊อกซิเจนอย่างเพียงพอ
- เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิว และฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
10. เบต้า แคโรทีน (Beta Carotene)
- ลดการหลุดลอกของเซลล์ผิว ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน
- ช่วยให้ต่อมไขมันทำงานอย่างเป็นปกติ
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และอนุมูลอิสระ
11. วิตามิน บี 3
- มีส่วนในการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว
- ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของสิ
- ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
- ช่วยปรับสภาพผิวให้สดใส ลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว
12. วิตามิน อี
- ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และรอยแผลเป็นจางลง
- ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึง ชะลอการเกิดริ้วรอย
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของ วิตามิน เอ บี และซี
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์จากการได้รับสารอาหาร 12 ชนิด
1. มีส่วนช่วยลดการอุดตันของไขมัน และเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน
2. มีส่วนช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบ
3. มีส่วนช่วยลดการอักเสบของสิว และการติดเชื้อ ช่วยให้สิวแห้ง และหายเร็วขึ้น
4. มีส่วนช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น และจุดด่างดำจากสิว
5. มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และปรับสภาพผิวให้ขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
6. มีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนังให้แข็งแรง
7. มีส่วนช่วยในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวที่เกิดจาก อนุมูลอิสระ

Dezhou Lyophilized Royal Jelly Tablet รอยัลเยลลี่



Item Code : 40105  Dezhou Lyophilized Royal Jelly Tablet 40 tables (10 g.)


รหัสสินค้า : 40105  เดอโจว ไลโอฟิไลซ์ รอยัลเยลลี่ ชนิดเม็ด 40 เม็ด (10 กรัม)


ราคาปกติ 1,080฿ ลด 25% เหลือ 810฿ เท่านั้น


สอบถามรายละเอียดได้  ที่นี่



รอยัล เยลลี Royal Jelly นมผึ้ง100% ผลิตผลจากธรรมชาติ เพื่อคืนความกระจ่างใส ชุบชีวิตใหม่ให้ผิวสวย จากภายในสู่ภายนอก ผู้หญิงค่อนข้างจะตระหนักถึงความสวยงาม มหัศจรรย์นมผึ้ง รอยัล เยลลี่ เผยผิวใสเรียบเนียน ปรับสมดุลร่างกาย ไขปริศนาความงาม ผลิตภัณฑ์นมผึ้งอัดเม็ดเพื่อผิวพรรณที่กระชับเต่งตึงนวลเนียนใสไม่หย่อนคล้อย Royall Jellyรอยัล เยลลีราชินีเสริมอาหาร สนใจสั่งได้เลยค่ะ  รายละเอียดชำระเงิน คลิก ที่นี่



รายละเอียด :
ส่วนประกอบที่สำคัญ
1 เม็ด ประกอบด้วย ไลโอฟิไลช์ รอยัล เยลลี่ 100 % (ใน 1 เม็ดมีไลโอฟิไลซ์ รอยัล เยลลี่ 250 มิลิกรัม)

คำเตือน : ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ไม่ควรรับประทาน เพราะอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เด็ก และสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน
อ่านคำเตือนบนฉลากก่อนการบริโภค ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ ไม่มีผลในการป้องกัน หรือรักษาโรค

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Kritine Ko-Kool Refreshing Cream จิ้วฟู/บัวหิมะ


Item Code : 10107
Kritine Ko-Kool Refreshing Cream (100 g.)

รหัสสินค้า : 10107
คริสติน โคคูล รีเฟรชชิ่ง ครีม (100 กรัม)
ราคาปกติ 1,355฿ ลด 25% เหลือ 1,015฿ เท่านั้น


สนใจสั่งซื้อได้ที่นี่



คริสติน โคคูล รีเฟรชชิ่ง ครีม จิ้วฟู หรือบัวหิมะ เป็นที่สนใจของใครๆๆ หลายคน มีคำแนะนำอยู่ว่า แรกๆๆใช้ หากเราเคยใช้เครื่องสำอางค์ที่มีสารเคมีปะปนมาก่อน อาจจะ สิวเห่อ หน้าเละ แพ้ เพราะคุณสมบัติของมันคือ แทรกซึมใต้ผิวหน้า ดูดเอาสารเคมีที่ตกค
้าง ที่ไม่ดีเก็บซึ่งเก็บไว้ใต้ผิวหน้าเรา ให้ออกมา สารเคมีเหล่านั้นเมื่อเจอจิ้วเข้าไปจะทำให้สิวเห่อค่ะ แต่อีกซักพักก้อจะดีเอง แต่ต้องทนหน่อย หากมั่นใจว่าหน้าเราไม่เคยมีสารเคมีตกค้าง ก็สามารถใช้ตัวนี้ได้ค่ะ หรือถ้าไม่มั่นใจแนะนำให้ใช้ชุดพื้นฐานปรับสภาพผิวหน้าก่อนก็ได้ค่ะ จิ้วฟูจะทำหน้าที่เป็นครีมบำรุง ลองใช้ครีมบำรุงมอยเจอร์ของคังเซนให้หมดก่อนซักกระปุกก็ได้ค่ะแล้วค่ะสั่ง ถ้ามีอยู่แล้ว เอาไว้แต้มหัวสิวเอาแล้วกันนะคะ ใช้ตัวบำรุงอื่นไปก่อน Dr.คู ก็ได้ หรือ มอยเจอร์ เบสิคสกินก็ได้ค่ะ



รายละเอียด :
ครีมบำรุงผิวหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง นวลเนียนใส และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเย็นสดชื่น

วิธีใช้ :
ทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า และลำคอ ยกเว้นขอบดวงตา ทาวันละ 2 ครั้ง เช้าก่อนแต่งหน้า และเย็นก่อนนอน

Detail :

Enriched with ginseng extracts stimulating blood circulation leaving your face looking radiant and supple. Bhowti Dangui helps inflammation. With the emollient properties, glycerin effectively enhances skin's moisture.

Use :
Smooth ligtly onto face and neck except round the eyes. 2 times daily; morning before make-up and night before sleep.

Tips :
Work better when using with Kristine Ko-Kool Set. 
คำแนะนำ :
เพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ คริสติน โคคูล เซ็ท